- รับลิงก์
- X
- อีเมล
- แอปอื่นๆ
- รับลิงก์
- X
- อีเมล
- แอปอื่นๆ
จนกระทั่งได้เมล็ดพันธุ์พริกมาแล้ว ให้นำไปแช่น้ำร้อน ถ้าหญ้าเริ่มยาวให้ใช้เครื่องตัดหญ้า หลังจากนั้นใช้น้ำร้อนเทลงไปในภาชนะก่อน 1 ส่วนและตามด้วยน้ำเย็นอีก 1 ส่วน ทดสอบ
โดยมือจุ่มลงไปพอมือเราทนได้ ก็ใช้ได้หรือประมาณ 50 องศา แช่ไว้ราว 30 นาที หลังจากนั้นนำไปห่อในผ้าขาวบาง บ่มไว้ 1 คืนแล้วนำเมล็ดไปเพาะได้ โดยบ่มไว้ในกระติกน้ำ
ร้อนก็ได้ ใช้ถ้วยคว่ำแล้วเอาเมล็ดพริกวางบนถ้วยที่คว่ำไว้ เพื่อไม่เมล็ดพริกแช่น้ำที่เราพ่นใส่เมล็ดพริกที่บ่ม เมล็ด พริกจะได้ไม่เน่าไปซะก่อนครับ
การนำเมล็ดไปเพาะมีด้วยกัน 3 แนวทาง
1. นำเมล็ดไปหยอดในถาดเพาะโดยตรง ถ้าเมล็ดไหนไม่งอกต้องถอนย้ายมาปลูกซ่อมแทนเพื่อความคงที่ของต้นกล้า วิธีนี้ถือว่าสะดวกและรวดเร็วสุด
2. นำไปหว่านในตะกร้าพลาสติกในทราย โดยทรายที่นำไปเพาะนั้น ขอแนะนำให้ใช้ทรายขี้เป็ดที่หยาบสักหน่อย และต้องนำไปต้มเพื่อการฆ่าเชื้อโรคที่ติดมาเสียก่อน เมื่อต้มประสบ
ความสำเร็จ รอทรายที่ต้มเย็นก่อน แล้วนำมาใส่ตะกร้าพลาสติก ก่อนใส่ทรายรองด้วยกระดาษหนังสือพิมพ์ก่อน เสร็จแล้วก็นำเมล็ดหว่านลงในกระจาดพลาสติก แล้วกลบด้วย ปุ๋ยหมัก
หรือขุยมะพร้าวที่ร่อนเอากากออกแล้ว รดน้ำและสารเคมีป้องกันกำจัดเชื้อรา เช่น เทอร์ราคลอ ซูเปอร์เอ๊กซ์ ในอัตรา 10 ซีซี.ต่อน้ำ 20 ลิตร ให้ทั่วเพื่อป้องกันรากเน่า โคนเน่า แล้วไม่
ต้องรดน้ำ อย่าให้เปียกจนเกินไปจะทำให้เมล็ดพริกเน่าได้ หลังจากหว่านเมล็ดพริกไปได้ 7 -10 วันในฤดูร้อนก็สามารถย้ายลงถาดหลุมได้ ถ้า เป็นฤดูหนาวจะ
ใช้เวลา 15 วันหรือมากว่านั้นตามอุณหภูมิที่เย็น
พอต้นกล้าอายุได้ครบ 10 วันก็พร้อมที่จะย้ายลงถาดหลุมได้ การย้ายก็ทำโดย ถอนต้นกล้าเฉพาะที่ต้นสม่ำเสมอและไม่เป็นโรคและแข็งแรงเท่านั้น จากตะกร้าเพาะมาปลูกลงในถาด
โดยการเจาะหลุมที่ถาดเพาะก่อน เพื่อความรวดเร็วในการย้ายต้นกล้า หลังจากย้ายเสร็จแล้วก็ รดน้ำที่ผสมสารเคมีป้องกันกำจัดเชื้อรา จำพวก เทอร์ราคลอ อัตราการใช้ 10 ซีซี /20
ลิตร รดให้ทั่วเพื่อป้องกันโรคโคนเน่าที่จะเกิดตามมาได้ในทุกฤดู จะเน้นโดยเฉพาะฤดูฝน
หลังจากย้ายต้นกล้าได้ 15-20 วัน ก็สามารถนำต้นกล้าที่ได้ ไปปลูกลงแปลงได้
ศกนี้ต้องบอกว่า พริก...เป็นอีกพืชหนึ่งที่เจอไวรัสเยอะมากแทบจะทุกพื้นที่ที่ปลูก คำถามที่เจอในวงการเกษตรกลุ่มอื่นๆเข้ามาถามตลอดว่าจะแก้ปัญหาอย่างไร และคำตอบสุดท้าย...ก็
คือ...ไม่มีวิธีการแก้ นอกจากการพ่นสารเคมีกำจัด เพลี้ยไฟ ไรแดง ไรขาวซึ่งเป็นแมลงพาหะ เมื่อแมลงตาย แต่ไวรัสที่อยู่ในต้นยังคงอยู่และยังแพร่ระบาดต่อไป สุดท้ายพริกเหลือง
หงิก ด่างทั้งแปลง...เพียงเพราะ...ชาวนาไม่รู้จักยาไวรัส...ผู้รู้ยังบอกว่า...ไวรัสไม่มียา รักษา...ไวรัสยังแก้ไม่ได้....ฉีดธาตุอาหารเสริมสารพัดที่คิดว่าพริกจะกลับมาเขียวได้ แข็งแรง
ได้...ซึ่งไม่ใช่คำตอบ...ไวรัสจึงยังอยู่กับชาวไร่ต่อไป...และต่อไป
โดยมือจุ่มลงไปพอมือเราทนได้ ก็ใช้ได้หรือประมาณ 50 องศา แช่ไว้ราว 30 นาที หลังจากนั้นนำไปห่อในผ้าขาวบาง บ่มไว้ 1 คืนแล้วนำเมล็ดไปเพาะได้ โดยบ่มไว้ในกระติกน้ำ
ร้อนก็ได้ ใช้ถ้วยคว่ำแล้วเอาเมล็ดพริกวางบนถ้วยที่คว่ำไว้ เพื่อไม่เมล็ดพริกแช่น้ำที่เราพ่นใส่เมล็ดพริกที่บ่ม เมล็ด พริกจะได้ไม่เน่าไปซะก่อนครับ
การนำเมล็ดไปเพาะมีด้วยกัน 3 แนวทาง
1. นำเมล็ดไปหยอดในถาดเพาะโดยตรง ถ้าเมล็ดไหนไม่งอกต้องถอนย้ายมาปลูกซ่อมแทนเพื่อความคงที่ของต้นกล้า วิธีนี้ถือว่าสะดวกและรวดเร็วสุด
2. นำไปหว่านในตะกร้าพลาสติกในทราย โดยทรายที่นำไปเพาะนั้น ขอแนะนำให้ใช้ทรายขี้เป็ดที่หยาบสักหน่อย และต้องนำไปต้มเพื่อการฆ่าเชื้อโรคที่ติดมาเสียก่อน เมื่อต้มประสบ
ความสำเร็จ รอทรายที่ต้มเย็นก่อน แล้วนำมาใส่ตะกร้าพลาสติก ก่อนใส่ทรายรองด้วยกระดาษหนังสือพิมพ์ก่อน เสร็จแล้วก็นำเมล็ดหว่านลงในกระจาดพลาสติก แล้วกลบด้วย ปุ๋ยหมัก
หรือขุยมะพร้าวที่ร่อนเอากากออกแล้ว รดน้ำและสารเคมีป้องกันกำจัดเชื้อรา เช่น เทอร์ราคลอ ซูเปอร์เอ๊กซ์ ในอัตรา 10 ซีซี.ต่อน้ำ 20 ลิตร ให้ทั่วเพื่อป้องกันรากเน่า โคนเน่า แล้วไม่
ต้องรดน้ำ อย่าให้เปียกจนเกินไปจะทำให้เมล็ดพริกเน่าได้ หลังจากหว่านเมล็ดพริกไปได้ 7 -10 วันในฤดูร้อนก็สามารถย้ายลงถาดหลุมได้ ถ้า เป็นฤดูหนาวจะ
ใช้เวลา 15 วันหรือมากว่านั้นตามอุณหภูมิที่เย็น
พอต้นกล้าอายุได้ครบ 10 วันก็พร้อมที่จะย้ายลงถาดหลุมได้ การย้ายก็ทำโดย ถอนต้นกล้าเฉพาะที่ต้นสม่ำเสมอและไม่เป็นโรคและแข็งแรงเท่านั้น จากตะกร้าเพาะมาปลูกลงในถาด
โดยการเจาะหลุมที่ถาดเพาะก่อน เพื่อความรวดเร็วในการย้ายต้นกล้า หลังจากย้ายเสร็จแล้วก็ รดน้ำที่ผสมสารเคมีป้องกันกำจัดเชื้อรา จำพวก เทอร์ราคลอ อัตราการใช้ 10 ซีซี /20
ลิตร รดให้ทั่วเพื่อป้องกันโรคโคนเน่าที่จะเกิดตามมาได้ในทุกฤดู จะเน้นโดยเฉพาะฤดูฝน
หลังจากย้ายต้นกล้าได้ 15-20 วัน ก็สามารถนำต้นกล้าที่ได้ ไปปลูกลงแปลงได้
ศกนี้ต้องบอกว่า พริก...เป็นอีกพืชหนึ่งที่เจอไวรัสเยอะมากแทบจะทุกพื้นที่ที่ปลูก คำถามที่เจอในวงการเกษตรกลุ่มอื่นๆเข้ามาถามตลอดว่าจะแก้ปัญหาอย่างไร และคำตอบสุดท้าย...ก็
คือ...ไม่มีวิธีการแก้ นอกจากการพ่นสารเคมีกำจัด เพลี้ยไฟ ไรแดง ไรขาวซึ่งเป็นแมลงพาหะ เมื่อแมลงตาย แต่ไวรัสที่อยู่ในต้นยังคงอยู่และยังแพร่ระบาดต่อไป สุดท้ายพริกเหลือง
หงิก ด่างทั้งแปลง...เพียงเพราะ...ชาวนาไม่รู้จักยาไวรัส...ผู้รู้ยังบอกว่า...ไวรัสไม่มียา รักษา...ไวรัสยังแก้ไม่ได้....ฉีดธาตุอาหารเสริมสารพัดที่คิดว่าพริกจะกลับมาเขียวได้ แข็งแรง
ได้...ซึ่งไม่ใช่คำตอบ...ไวรัสจึงยังอยู่กับชาวไร่ต่อไป...และต่อไป
- รับลิงก์
- X
- อีเมล
- แอปอื่นๆ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น